kachelotravel Culture Midsummer เทศกาลฤดูร้อนในสวีเดน

Midsummer เทศกาลฤดูร้อนในสวีเดน

midsummer

ช่วงเดือนที่ผ่านมานี้มีหนังเรื่องนึงที่คนพูดถึงกันมากมายเลยก็คือ Midsommar ที่เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญกำกับโดย Ari Aster หลายๆคนก็ตั้งหน้าตั้งตารอ เราก็เหมือนกัน และหลังจากที่ไปดูมาก็อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเทศกาล Midsummer ให้มากขึ้น ก็เลยลองค้นคว้าเพิ่มเติม หลังจากที่อ่านไปเยอะแยะแล้วเราก็เลยอยากแบ่งปันกับทุกคน บทความนี้ก็เลยจะมาแนะนำเทศกาลนี้ให้รู้จักกัน

Midsummer Festival History

เทศกาลมิดซัมเมอร์ของประเทศสวีเดนนั้นเป็นงานเฉลิมฉลองฤดูร้อนที่จะจัดขึ้นทุกๆปีช่วงเดือนมิถุนายน และมีความสำคัญรองจากวันคริสตร์มาสเลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่แปลกนักที่เทศกาลในฤดูร้อนจะมีความสำคัญขนาดนี้ เพราะประเทศในแถบสแกนดิเนเวียนั้นจะต้องอยู่กับฤดูหนาวและความมืดมิดแทบจะทั้งปี เมื่อถึงฤดูร้อนที่มีแสงอาทิตย์และความอบอุ่นจึงได้มีการจัดงานฉลองขึ้นมา

ที่มาของเทศกาลนี้ตามที่ Nordic Museum บอกไว้ว่าเริ่มมาจากวันหยุดของชาวคริสเตียน St. John the Baptist Day ซึ่งตรงกับวันที่ 24 มิถุนายนของทุกปี ส่วนมิดซัมเมอร์นั้นก็จะจัดในวันอื่นของสัปดาห์เดียวกัน แต่ในปี 1953 ก็ได้กำหนดให้เป็นวันศุกร์ระหว่างวันที่ 20-26 มิถุนายนแทน ซึ่งแต่เดิมแล้วนั้นไม่ได้เป็นเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนา เพียงแต่เป็นการฉลองในช่วงฤดูร้อนในวันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนถึงจุดสูงสุดและเป็นวันที่มีกลางวันนานที่สุดเท่านั้น

สำหรับ midsommarstång หรือที่เรียกว่า maypole ที่เป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลนั้น จะถูกตกแต่งด้วยใบไม้สีเขียวและดอกไม้ และจะตั้งอยู่ตรงจุดสำคัญในเมืองเพื่อให้คนมาเต้นรอบๆเหมือนที่เราเห็นในหนังนั่นแหละ โดยปกติแล้วงานจะเริ่มในช่วงกลางวันเมื่อเพื่อนๆและครอบครัวมารวมตัวกันที่สวนใกล้บ้านและมีปิคนิคเล็กๆด้วยกัน ส่วนเมย์โพลก็จะตั้งตระหง่านอยู่กลางสวน หลังจากนั้นการเต้นรำพื้นบ้านก็จะเริ่มต้นขึ้น ส่วนมากจะเริ่มจากชาวบ้านที่ใส่ชุดพื้นเมืองก่อนและตามด้วยทุกคนที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วม แล้วก็อย่าพลาด Små grodorna หรือ The Little Frogs ท่าเต้นที่ทุกคนทำท่าเหมือนกบและกระโดดไปรอบๆเสานั่นเอง

midsummer

หลังจากที่เต้นกันจนเหนื่อยได้ที่ก็เป็นเวลาของอาหารกลางวัน ซึ่งชาวสวีเดนเชื่อว่าอาหารกลางวันในเทศกาลมิดซัมเมอร์นั้นเป็นอาหารที่ดีที่สุดสุดถึงแม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกับอาหารในช่วง Easter และ Christmas ก็ตาม เมนูที่ขาดไม่ได้เลยก็จะต้องเป็นแซลมอน มันฝรั่งกับซาวเออร์ครีม และแน่นอนว่าต้องมี sill หรือปลาเฮริงดอง ของขึ้นชื่อของประเทศสวีเดนนั่นเอง ซึ่งเมนูนี้จะต้องมีในมื้ออาหารที่เป็นวันหยุดของสวีเดนเลยทีเดียว และก็จะมีหลากหลายรสชาติมากเพราะส่วนใหญ่เขาจะทำกันเองในครอบครัว ไม่ค่อยได้ซื้อกัน งานก็ยังคงดำเนินไปจนถึงช่วงกลางคืน ซึ่งจะเป็นช่วงของการดื่มและเล่นเกมกลางแจ้งกัน เครื่องดื่มก็จะเป็นพวกเบียร์และวอดก้า และยังมีเหล้าพื้นเมืองอย่าง snaps ที่ทำมาจากดอกไม้ เลม่อน และสมุนไพรต่างๆ

midsummer

ในวันมิดซัมเมอร์อีฟเขายังมีความเชื่ออีกด้วยว่าถ้าเรานำดอกไม้ 7 ดอก 7 ชนิด มาวางไว้ใต้หมอนแล้วนอนหลับไปจะทำให้เราฝันถึงรักแท้ด้วยล่ะ แล้วก็ไม่ต้องกังวลใจไปเพราะงานจริงๆไม่มีการกระโดดหน้าผา ทุบหัว หรือเผาโรงนาอย่างแน่นอน

ส่วนใครที่อยากจะไปร่วมงานก็ต้องไปสวีเดนช่วง 20-26 มิถุนายน เพราะเป็นช่วงที่เขาจัดงานกันพอดี ส่วนใหญ่ก็จะจัดกันในพื้นที่ของชุมชน หรือจะไปที่ Sammilsdal ใน Leksand ตอนกลางของสวีเดนอย่าง Dalarna ก็ได้ เพราะเป็นสถานที่ที่จัดงาน Midsummer ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในเมืองอย่างสตอล์กโฮม ที่ Skasen พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ก็มีเหมือนกันนะ แถมจัดยาวๆไปเลยสามวัน ยังไงก็เลือกไปกันได้เลย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related Post

k-pop

K-Pop ตัวอย่างการใช้ Soft Power ที่ประสบความสำเร็จK-Pop ตัวอย่างการใช้ Soft Power ที่ประสบความสำเร็จ

ในโลกปัจจุบันการที่จะครอบงำหรือแสดงอำนาจให้เห็นนั้นไม่ค่อยมีการใช้ Hard Power หรืออำนาจทางการทหารและอาวุธเท่าไหร่แล้ว นอกจากประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม แต่การใช้วัฒนธรรมในการแสดงอำนาจ หรือ Soft Power นั้นกลับกลายเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ถ้าให้ยกตัวอย่างก็ต้องเป็นกระแส K-Pop จากประเทศเกาหลีใต้ที่เป็นตัวอย่างของการใช้ Soft Power ที่ประสบความสำเร็จ เราจะมาดูกันว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เคป๊อปเป็นที่นิยมไปทั่วโลก K-Pop การส่งผ่านวัฒนธรรมผ่านสื่อบันเทิง ปัจจัยที่ทำให้การครอบงำทางวัฒนธรรมของเประเทศเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จได้นั้นหลักๆเลยคือการได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ช่วงที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง (1997) ประเทศเกาหลีใต้ต้องมีการกู้เงินจาก IMF แต่หลังจากนั้นก็สามารถปลดหนี้ได้อย่างรวดเร็วจากการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรม เนื่องจากเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ไม่ได้มีต้นทุนทางประวัติศาสตร์ที่เข้มแข็งเหมือนอย่างจีน ญี่ปุ่น และยังมีต้นทุนทางการเงินต่ำ แต่สิ่งที่เป็นจุดแข็งเลยก็คือคนเกาหลีมีความอดทน ปรับตัวเก่ง

อังกฤษ

อังกฤษ must eat ไปแล้วต้องได้กินอังกฤษ must eat ไปแล้วต้องได้กิน

มาต่อกันที่บทความอาหารอีกสักนิด รอบนี้ขอเป็นประเทศ อังกฤษ บ้าง ยิ่งช่วงนี้ค่าเงินถูกลงจนน่าเที่ยว หลายคนก็คงวางแพลน ซื้อตั๋ว แลกเงินเรียบร้อยแล้วด้วย แล้วถ้าไปทั้งทีไม่กินอาหารประเทศเขาก็น่าเสียดายแย่ บทความนี้ก็เลยจะมาแนะนำ 5 เมนูที่ต้องกิน ย้ำว่า ต้องกิน!! เมื่อไปถึงประเทศอังกฤษ จะมีอะไรบ้างไปดูกัน 5 เมนูแบบ อังกฤษ ที่พลาดไม่ได้ 1. Fish and chips             เริ่มแรกก็ต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนนึกถึงแน่นอน สำหรับ fish and chips

ศุกร์ 13

ศุกร์ 13 กับความเชื่อเรื่องตัวเลขศุกร์ 13 กับความเชื่อเรื่องตัวเลข

คนไทยมีความเชื่อเกี่ยวกับโชคลางฉันท์ใด ฝรั่งก็ต้องมีความเชื่อเป็นของตัวเองเหมือนกัน และเรื่องของวันแห่งความโชคร้ายอย่าง ศุกร์ 13 ก็ดูเหมือนว่าฝรั่งในโซนยุโรปอเมริกานั้นก็จะเชื่อถือกันอย่างจริงจังซะด้วยสิ สังเกตได้ไม่ยาก ถ้าหากว่าเราไปเที่ยวในโซนยุโรป จำพวกโรงแรมหรือว่าที่พักยังไม่มีชั้น 13 หรือห้องเลขที่ 13 เลย นั้นเพราะว่าความเชื่อว่าเลข 13 นั้นเป็นเลขของความโชคร้ายนั้นเอง ศุกร์ 13 – ที่มาของเลข 13 และความเชื่อเรื่องวันศุกร์ของชาวคริสเตียน และความโชคร้ายนั้นเหมือนจะยิ่งทวีคูณความรุนแรงเข้าไปอีก  เมื่อมันตรงกับวันศุกร์ที่ 13 อย่างพอดิบพอดี  ซึ่งนานๆจะมีวันศุกร์ที่ตรงกับวันที่ 13 พอดีสักทีหนึ่ง