kachelotravel Culture วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป กับดินแดนในประเทศการพัฒนาแล้ว

วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป กับดินแดนในประเทศการพัฒนาแล้ว

วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป

วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป ถ้าหากว่าพูดถึงยุโรปหลาย ๆ คนก็จะนึกถึงดินแดนที่รวมไปด้วยประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งวิธีการดำเนินชีวิต และวิธีการทำงานของเขานั้น แตกต่างจากประเทศในแถบเอเชียที่ถูกจัดให้เป็นประเทศกำลังพัฒนาเป็นอย่างมาก

o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o

ในยุโรปนั้นให้ความสำคัญในเรื่องของการทำงาน ซึ่งจะมุ่งไปที่ผลลัพธ์ของ การทำงาน มากกว่า เวลาเข้างาน ซึ่งในหลาย ๆ บริษัทนั้นก็จะมีการลงเวลาเข้างานเหมือนเหมือนกันกับบริษัทในเอเชีย แต่สำหรับเรื่องวันเข้าทำงานนั้นอาจจะมีความแตกต่าง และบริษัทนั้นมุ่งเน้นให้พนักงานของตัวเองมีเวลาในการพักผ่อนมากขึ้น

หากจะเปรียบเทียบกันกับบริษัทในแถบประเทศเอเชียที่ทำงาน 5-6 วันใดในยุโรปนั้นจะอนุญาตให้พนักงานเข้ามาทำงานเพียงแค่สัปดาห์ละ 3 วันเท่านั้น (ซึ่งไม่ใช่ทุกประเทศ และทุกบริษัทจะดำเนินการในลักษณะนี้) ส่วนวันที่เหลือน้ำพนักงานสามารถที่จะทำงานมาพักที่บ้านได้

หรือบางบริษัทนั้นก็ให้เป็นวันหยุดไปเลย เพื่อที่จะให้พนักงานนั้นมีเวลาได้พักผ่อน และใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น และมันจะส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานในวันที่พวกเขามาทำงานที่ออฟฟิศนั้นเพิ่มขึ้น

วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป
วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป

วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป และความสำคัญในเรื่องของการทำงาน

สวัสดิการ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในออฟฟิศ นั่นก็ถือ เป็นเรื่องที่บริษัทต่างๆในยุโรปให้ความสำคัญ ในแต่ละบริษัทนั้นมักจะมีห้องพักผ่อนให้กับพนักงานเพื่อที่จะให้พนักงานนั้นสามารถใช้เวลาที่ว่างจากการทำงานมานั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ หรือว่าทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลายในระหว่างการทำงานได้ด้วย

นี่ยังไม่รวมไปถึงกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ ที่บริษัทจำเป็นจะต้องจัดขึ้นเพื่อให้พนักงานนั้นมีความผ่อนคลาย และเป็นสร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงาน

o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o

c r e d i t : ufabet1688

o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o

Related Post

renaissance

Renaissance ยุครุ่งเรือง เฟื่องฟูของงานศิลปะRenaissance ยุครุ่งเรือง เฟื่องฟูของงานศิลปะ

ถ้านึกถึงความอลังกาล อู่ฟู่ ต้องยกให้กับยุคศิลปะ Renaissance ศิลปะเรอเนสซองส์มีรูปแบบแตกต่างกันในอิตาลีตอนเหนือตั้งแต่ราวปี 1420 ควบคู่ไปกับพัฒนาการที่เกิดขึ้นในปรัชญาวรรณคดีดนตรีและวิทยาศาสตร์ เป็นรากฐานของศิลปะโบราณวัตถุคลาสสิก แต่ก็ได้รับอิทธิพลจากศิลปะของยุโรปเหนือและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยด้วย ศิลปินยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา วาดรูปแบบต่างๆมากมาย แท่นบูชาทางศาสนาวงเวียนจิตรกรรมฝาผนังและงานเล็ก ๆ สำหรับเรียนรู้ฝึกฝนกันส่วนตัวของเล่าบรรดาผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะเป็นที่นิยมมาก จิตรกรทั้งในอิตาลีและยุโรปตอนเหนือมักหันมาสนใจ Golden Legend (1260) ของ Jacobus de Voragine ซึ่งเป็นหนังสือแหล่งข้อมูลที่มีอิทธิพลอย่างสูงสำหรับชีวิตของนักบุญที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อศิลปินในยุคกลาง ความสนใจในสมัยโบราณคลาสสิกและมนุษยนิยมในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยายังส่งผลให้มีภาพวาดในตำนานและประวัติศาสตร์มากมาย เครื่องประดับตกแต่งซึ่งมักใช้ในองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่ทาสีได้รับอิทธิพลอย่างมากจากลวดลายโรมันคลาสสิก The Ecstasy of Saint Teresa,

baroque

ความแตกต่างระหว่าง Baroque และ Rococoความแตกต่างระหว่าง Baroque และ Rococo

Renaissance Classicism ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันสองแบบ คือ Mannerism และ Baroque Mannerism ซึ่งเป็นปฏิกิริยาต่อต้านความสมบูรณ์แบบในอุดมคติของ Classicism ใช้การบิดเบือนแสงและกรอบเชิงพื้นที่เพื่อเน้นเนื้อหาทางอารมณ์ของภาพวาดและอารมณ์ของจิตรกร ในขณะที่ศิลปะเรอเนสซองซ์ชั้นสูงเน้นสัดส่วนความสมดุลและความงามในอุดมคติ Mannerism มีคุณสมบัติดังกล่าวเกินจริงซึ่งมักส่งผลให้องค์ประกอบที่ไม่สมดุลหรือสง่างามผิดธรรมชาติ สไตล์นี้มีความโดดเด่นในด้านความซับซ้อนทางปัญญาและคุณสมบัติที่ประดิษฐ์ขึ้น (เมื่อเทียบกับธรรมชาติ) ในทางตรงกันข้ามศิลปะบาโรกได้นำเอาการเป็นตัวแทนของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาไปสู่ยุคใหม่โดยเน้นรายละเอียดการเคลื่อนไหวการจัดแสงและการแสดงละคร จิตรกรยุคบาโรกที่รู้จักกันดี ได้แก่ Caravaggio, Rembrandt, Peter Paul Rubens และ Diego Velázquez ศิลปะบาโรกมักถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้านการปฏิรูป การฟื้นฟูชีวิตทางจิตวิญญาณในคริสตจักรนิกายโรมันคาธอลิก ใขณะเดียวกันธีมทางศาสนาและการเมืองก็ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

วัฒนธรรมการทำงาน

วัฒนธรรมการทำงาน เพื่อใช้ชีวิตของชาวฝรั่งเศสวัฒนธรรมการทำงาน เพื่อใช้ชีวิตของชาวฝรั่งเศส

ล่าสุดนี้ผู้เขียนเองได้มีโอกาสชมซีรีย์เรื่อง Emily in Paris ทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้ วัฒนธรรมการทำงาน ของชาวฝรั่งเศสโดยเฉพาะชาวเมืองปารีส ซึ่งก็ต้องยอมรับเลยว่าผู้เขียนนั้นตกหลุมรักเป็นอย่างมาก แต่จะมีเรื่องไหนบ้างที่ตรงใจกับคุณก็ลองมาดูกัน ถ้าพูดถึงประเทศฝรั่งเศสคนอาจจะนึกถึงความโรแมนติกเมืองที่สวยงามปารีสที่ใครๆก็ใฝ่ฝันว่าจะต้องไปเยือนให้ได้ในสักครั้งหนึ่งของชีวิตคุณพูดมาอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจของชาวปารีสก็คือเขาไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่เพื่อการทำงานกันเขาใช้ชีวิตแบบ Artist สามารถที่จะเพลิดเพลินกับทุกอย่างรอบตัวได้เรียกว่าใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ก็อาจจะไม่แตกต่างไปนักแต่ก็ไม่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปาก ศิลปะยุคกลาง และศิลปะแบบไบแซนไทน์ ชาวฝรั่งเศสหรือชาวปารีสจะมีวัฒนธรรมการเข้างานที่ออกจากสายไปสักหน่อยถ้าเปรียบเทียบกับชาวไทยอย่างเราโดยส่วนใหญ่แล้วบริษัทหรือหน่วยงานต่างๆในประเทศไทยอาจจะเริ่มทำงานกันที่เราราว 8:00 น ยังสายที่สุดเลยก็น่าจะเป็น 9:00 น แต่สำหรับชาวปารีสนั้นเขาไม่จำเป็นจะต้องรีบตื่นเช้ามาทำงานเพราะ บรรดาห้างร้านหรือบริษัทต่างๆอาจจะเริ่มเปิดทำงานกันที่ 10 โมงครึ่งเลยทีเดียวซึ่งจะทำให้เขาสามารถมีเวลาใช้ชีวิตในช่วงเช้ากับการไปนั่งคาเฟ่ดื่มกาแฟทานครัวซองค์สูบบุหรี่สักตัวก่อนที่เข้าไปทำงานเริ่มต้นวันใหม่ (ชาวฝรั่งเศสสูบบุหรี่จัดมากๆ) นอกจากจะเข้าทำงานสายแล้ว ยังมีรสนิยมในการพักเที่ยงที่ยาวนานกว่าปกติอีกด้วย คุณเข้ามาทำงานตอน 10:30 น