kachelotravel Culture ผู้ชายแต่งหน้า มีที่มายังไงแล้วทำไมถึงเป็นกระแสขึ้นมา

ผู้ชายแต่งหน้า มีที่มายังไงแล้วทำไมถึงเป็นกระแสขึ้นมา

ผู้ชายแต่งหน้า

เดี๋ยวนี้เรื่องของเครื่องสำอางหรือการแต่งหน้าไม่ได้เป็นแค่เรื่องของผู้หญิงอีกต่อไป ผู้ชายปัจจุบันก็หันมาสนใจเรื่องของการแต่งหน้ามากขึ้น เห็นได้จากจำนวนบิวตี้บล็อกเกอร์ชายที่มีมากขึ้นและหลายๆคนก็มีชื่อเสียงเป็นที่เรียบร้อย จริงๆแล้วการแต่งหน้าของผู้ชายก็มีหลากหลายไม่แพ้ผู้หญิงนะ บางคนก็นิยมแต่งแบบธรรมชาติเพื่อให้ดูดี ดูสะอาดมากขึ้น หรือบางคนก็แต่งจัดเต็มแบบผู้หญิงไปเลยก็มี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน และวันนี้เราจะพาย้อนไปดูถึงที่มาที่ไปว่า ผู้ชายแต่งหน้า มีมาตั้งแต่ตอนไหน แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นกระแสขึ้นมา

ที่มาที่ไปของ ผู้ชายแต่งหน้า

การแต่งหน้าของผู้ชายนั้นมีมาตั้งแต่สมัย 4000 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงศตวรรษที่ 18 ที่การแต่งหน้ากลายเป็นเรื่องต้องห้าม เราจะมาเรียงไทม์ไลน์กันว่าเรื่องการแต่งหน้าของผู้ชายแต่ละยุคสมัยเป็นอย่างไรบ้าง

1.) Ancient Egypt สมัยอียิปต์โบราณเรื่องของความเป็นชายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และเครื่องสำอางก็มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ เพราะผู้ชายจะใช้ผงสีดำในการเขียนขอบตาในรูปแบบ cat-eye มีการใช้อายแชโดว์สีเขียวเพราะเชื่อว่าเป็นการขจัดโรคร้าย ช่วงหลังมาถึงมีการใช้สีแดงปัดแก้มคู่กับไฮไลท์ที่มาจากแร่ต่างๆ ก่อนที่จะมีการใช้สีแดงนั้นทาปากด้วย และการเขียนตาที่คมเข้มนั้นยังเป็นการบ่งบอกถึงสถานะและความร่ำรวยในสมัยนั้น

ancient egypt

2.) Ancient Rome ถัดมาในสมัยโรมัน ผู้ชายโรมันนิยมทาแป้งเพื่อให้หน้าขาวขึ้น และใช้สีแดงในการแต้มที่แก้ม และทาเล็บแดงที่ได้จากการนำเลือดหมูผสมกับไขมันหมู อีกทั้งผู้ชายชาวโรมันยังมีการเพ้นท์ศีรษะเพื่อปกปิดส่วนที่ไม่มีผมอีกด้วย

ผู้ชายแต่งหน้า

3.) Elizabethan England ในยุคของควีนเอลิซาเบธที่ 1 เรื่องของการแต่งหน้าแต่งตัวของสุภาพบุรุษเป็นที่นิยมอย่างมาก มีการใช้ไข่และน้ำผึ้งมามาสก์หน้าเพื่อลดริ้วรอยด้วย สำหรับลักษณะการแต่งหน้าก็คือจะต้องทาหน้าด้วยแป้งให้ขาวซีด ซึ่งการแต่งหน้าแบบนี้เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยของชาวอังกฤษในสมัยนั้น นอกจากหน้าที่ขาวซีดที่เป็นที่นิยมแล้ว การฟอกสีผมในสมัยนั้นก็เป็นที่นิยมเช่นกัน และเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวอังกฤษในยุคนั้นมีลักษณะของหัวล้านก่อนวัยอันควรด้วย แต่ถึงแม้ว่าการแต่งหน้าแบบนี้จะมีข้อเสียมากมายแต่ก็เป็นต้นกำเนิดของแป้งที่เป็นเครื่องสำอางแบบที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน และด้วยข้อเสียมากมายนั้นก็ทำให้การแต่งหน้ากลายเป็นเรื่องต้องห้ามในสมัยของควีนเอลิซาเบธที่ 1 ด้วยเช่นกัน เพราะควีนได้ประกาศว่าการใช้เครื่องสำอางนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามและไม่สุภาพ จากประกาศนั้นพระราชินียังบอกอีกด้วยว่ายกเว้นแต่โสเภนีที่อนุญาตให้แต่งหน้าได้ รวมไปถึงนักแสดงชายด้วย เนื่องจากยุคนั้นผู้หญิงถึงห้ามในการเป็นนักแสดง ผู้ชายเลยต้องแต่งหน้าแต่งตัวแสดงบทเพศญิงแทน จึงได้รับการยกเว้น นอกจากราชวงศ์ที่มีอำนาจแล้ว ศาสนจักรในยุคนั้นก็มีอำนาจไม่แพ้กัน โดยตอนนั้นได้มีการไม่ยอมรับผู้ชายที่แต่งหน้าด้วย และในช่วงยุควิคตอเรียเครื่องสำอางก็กลายเป็นศาสตร์ที่มาจากซาตานไปเลย

ผู้ชายแต่งหน้า

4.) 1930s Hollywood หลังจากระยะเวลาอันยาวนาน เรื่องการแต่งหน้าแต่งตัวของผู้ชายก็กลับมาอีกครั้ง แต่มาในรูปแบบของการทำหนังที่ทันสมัยมากขึ้นของวงการฮอลลีวู้ด ซึ่งลุคเนี้ยบๆของ Clark Gable น่าจะเป็นตัวอย่างแรกๆของยุค Metrosexual

metrosexual

5.) 1970s & 1980s ในช่วงศตวรรษที่ 20 การแต่งหน้าของผู้ชายไม่ได้อยู่ในกระแสหลักแต่ก็ยังมีบทบาทให้เห็น อย่างนักร้อง Rock n’ Roll หลายท่าน เช่น Steven Tyler, David Bowie และ Prince

ผู้ชายแต่งหน้า

6.) Early 2000s ในช่วงนี้ American pop culture เริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น และนั่นก็ทำให้เรารู้จักกับ Guyliner หากนึกไม่ออกให้ลองนึกถึง Jared Leto หรือ Adam Lambert ก็ได้ ซึ่งกลายเป็นเทรนด์ในหมู่ชาวพังก์ร็อคไปเลย ไม่เพียงแค่นี้ แต่ Metrosexual ก็ได้กลับมาอีกครั้ง ทำให้แบรนด์ต่างๆเริ่มออกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับผู้ชายมาจำหน่าย

ผู้ชายแต่งหน้า

7.) 2010s เป็นปีที่โซเชียลมีเดียวเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ทำให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับผู้ชายที่เป็นกูรูด้านความงามได้แสดงถึงความสามารถและความชื่นชอบ และนี่ก็ช่วยทำให้การ stereotype แบบเก่าๆลดลงไป รวมไปถึงแบรนด์ดังต่างๆอย่าง Covergirl และ Maybelline ก็ได้มีการเปิดตัวพรีเซนเตอร์ชายคนแรกอีกด้วย

James Charles

8.) 2018s ปัจจุบันเรื่องการแสดงออกของเพศต่างๆยืดหยุ่นมาขึ้น และเป็นที่ยอมรับมากขึ้น และเครื่องสำอางก็ค่อยๆเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้ชายหลายๆคน อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนอย่าง James Charles แต่ก็อาจจะมีการใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดรอยตรงนั้นสักนิด ใช้เจลเขียนคิ้วเติมคิ้วสักหน่อย ก็พร้อมที่จะออกจากบ้านไปแบบที่ดูดีกว่าเดิม

2018

เป็นยังไงกันบ้างกับประวัติศาสตร์การแต่งหน้าของผู้ชาย จริงๆแล้วก็มีมาตั้งแต่โบราณเลย ถึงแม้ว่าจะหายไปช่วงนึงแต่ตอนนี้ก็กลายมาเป็นกระแสหลักแล้ว จนทำให้แบรนด์ต่างๆออกไลน์สินค้าใหม่ทั้งเครื่องสำอางสำหรับผู้ชาย หรือสกินแคร์บำรุงผิวต่างๆ บวกกับปัจจุบันที่เรื่องของเพศเป็นเรื่องที่เปิดกว้าง ก็ทำให้มองว่าเรื่องของ ผู้ชายแต่งหน้า เป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเพราะอยากดูดี ชอบเครื่องสำอาง หรืออะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้มันเป็นเรื่องปกติในสังคมไปแล้วเหมือนกับการที่ผู้หญิงแต่งหน้านั่นแหละค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related Post

ศิลปะคลาสสิก

ศิลปะคลาสสิก ยุคกรีกโบราณและโรมันศิลปะคลาสสิก ยุคกรีกโบราณและโรมัน

ศิลปะคลาสสิก กรีกโบราณมีความโดดเด่นท่ามกลางวัฒนธรรมโบราณอื่น ๆ ในด้านพัฒนาการของการพรรณนาถึงร่างกายมนุษย์ตามธรรมชาติ แต่ในอุดมคติซึ่งโดยทั่วไปแล้วรูปผู้ชายเปลือยมักเป็นจุดสนใจ ระหว่างประมาณ 750 ถึง 300 ปีก่อนคริสตกาล เป็นที่น่าทึ่งตามมาตรฐานศิลปะโบราณ และในผลงานที่ยังเหลืออยู่จะเห็นได้ดีที่สุดในประติมากรรมกรีกโบราณ แต่ที่ผ่านมาก็ได้มีการใช้เทคโนโยลีเข้าไปช่วยในการบูรณะมาบ้างแล้ว เนื่องจากเกิดความเสียหายไปมากจากของเดิมที่การเสียหายจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีเครื่องปั้นดินเผาที่มีการทาสีที่แตกต่างกัน เครื่องปั้นดินเผาสีดำและเครื่องปั้นดินเผาสีแดง ที่ก็ได้รับความนิยมตามมาติดๆ และมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของชาวกรีกพอสมควร ศิลปะคลาสสิก โรมันได้รับอิทธิพลจากกรีก บางส่วนสามารถนำมาถ่ายทอดส่งต่อให้คนคนรุ่นต่อมาๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดหรือ ประติมากรรมกรีกโบราณ แต่ก็ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศิลปะอีทรัสคันในท้องถิ่นของอิตาลี ประติมากรรมถือได้ว่าเป็นรูปแบบศิลปะที่สูงที่สุดของชาวโรมัน แต่การวาดรูปก็ยังได้รับการยกย่องอย่างมากเช่นกัน ประติมากรรมโรมันส่วนใหญ่มีแบบมาจากชนชั้นสูงของสังคมเช่นเดียวกับภาพลักษณ์ของเทพเจ้า  อย่างไรก็ตามภาพวาดโรมันมีลักษณะเฉพาะที่สำคัญ ในบรรดาภาพวาดโรมันที่ยังหลงเหลืออยู่คือภาพวาดฝาผนังซึ่งส่วนมากมาจากวิลล่าในกัมปาเนียทางตอนใต้ของอิตาลีโดยเฉพาะที่ปอมเปอีและเฮอร์คิวลาเนียม  *Augustus

การอพยพ

การอพยพ และการโยกย้ายในทวีปยุโรปการอพยพ และการโยกย้ายในทวีปยุโรป

แม้จะมีการเสียชีวิตอย่างหนักซึ่งเป็นผลมาจากสงครามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยุโรปก็เป็นแหล่งของผู้อพยพตลอดยุคปัจจุบัน นับตั้งแต่มีการค้นพบทางภูมิศาสตร์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ปัจจัยทั้ง “ผลัก” และ “ดึง” อธิบายว่า การอพยพ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยการขนส่งสมัยใหม่ ปัจจัยผลักดันมักจะเป็นความยากจนและความปรารถนาที่จะหลบหนีจากการถูกข่มเหงหรือการสูญเสียงานจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ปัจจัยดึงรวมถึงโอกาสใหม่ ๆ ในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้นซึ่งมักเป็นค่าใช้จ่ายของผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ยุโรปทั้งหมดมีส่วนร่วมในการถ่ายโอนประชากรจำนวนมากซึ่งส่งผลกระทบต่อการตั้งถิ่นฐานและการพัฒนาเศรษฐกิจของ อเมริกา ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ และ นิวซีแลนด์ จากการมีส่วนร่วมในความน่าสะพรึงกลัวของการค้าทาสชาวแอฟริกัน ชาวยุโรปยังเป้ส่วนนึงที่ทำให้เกิดการบังคับอพยพของชนชาติที่ไม่ใช่คนผิวขาวซึ่งส่งผลกระทบมากมายในโลกเก่าและโลกใหม่ วัฒนธรรมการทำงาน เพื่อใช้ชีวิตของชาวฝรั่งเศส การอพยพ หนีความยากจน ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 มีผู้คนราว

อังกฤษ

อังกฤษ must eat ไปแล้วต้องได้กินอังกฤษ must eat ไปแล้วต้องได้กิน

มาต่อกันที่บทความอาหารอีกสักนิด รอบนี้ขอเป็นประเทศ อังกฤษ บ้าง ยิ่งช่วงนี้ค่าเงินถูกลงจนน่าเที่ยว หลายคนก็คงวางแพลน ซื้อตั๋ว แลกเงินเรียบร้อยแล้วด้วย แล้วถ้าไปทั้งทีไม่กินอาหารประเทศเขาก็น่าเสียดายแย่ บทความนี้ก็เลยจะมาแนะนำ 5 เมนูที่ต้องกิน ย้ำว่า ต้องกิน!! เมื่อไปถึงประเทศอังกฤษ จะมีอะไรบ้างไปดูกัน 5 เมนูแบบ อังกฤษ ที่พลาดไม่ได้ 1. Fish and chips             เริ่มแรกก็ต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนนึกถึงแน่นอน สำหรับ fish and chips