kachelotravel Culture Malta มอลต้า สวรรค์เล็กๆในยุโรป

Malta มอลต้า สวรรค์เล็กๆในยุโรป

มอลต้า

ถ้าพูดถึงฝั่งยุโรปแล้ว นอกจากประเทศใหญ่ๆอย่างฝรั่งเศส อิตาลี สเปน หรือเยอรมนีที่คนชอบไปเที่ยวแล้ว ประเทศเล็กๆที่เป็นเกาะอย่าง มอลต้า ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเป็นประเทศที่มีความสวยงามทั้งทางด้านวิวทิวทัศน์ และด้านศิลปะต่างๆ แถมยังได้ชื่อว่าเป็นอีกประเทศที่มีอากาศดีที่สุดในโลกด้วย วันนี้เราก็เลยจะพาไปรู้จักกับประเทศเล็กๆที่มีความน่าสนใจนี้กัน

รู้จักกับ มอลต้า

สาธารณรัฐมอลต้า ตั้งอยู่บนตอนกลางของทะเลเมดิเตอเรเนียน ในทวีปยุโรป สำหรับความเป็นมาของประเทศนี้มีมานานมากแล้ว เพราะตัวประเทศถูกเปลี่ยนผ่านการปกครองมาหลากหลายรูปแบบทั้งกรีก โรมัน อาหรับ ชาวซิซิลี เรื่อยมาจนถึงฝรั่งเศสและอังกฤษ ที่เป็นประเทศสุดท้ายก่อนที่จะเป็นเอกราชในปี 1964 และประกาศว่าเป็นสาธารณรัฐในปี 1974 หลังจากนั้นก็ได้เป็นส่วนหนึ่งใน EU เมื่อปี 2004 นี่เอง เมืองหลวงของประเทศมีชื่อว่า Valletta (วัลเลตตา) เนื่องจากผ่านการปกครองมาหลากหลายในอดีต ทำให้มีอิทธิพลต่อด้านศิลปะและวัฒนธรรม มีการผสมผสานกันของศิลปะที่หลากหลาย แต่ถ้าจะให้พูดถึงช่วงยุคทองก็ต้องเป็นยุค The Knights of St. John’s ที่มีอิทธิพลมากทั้งทางด้านสถาปัตยกรรม ศิลปะ รวมไปถึง ด้านสาธารณสุขและการศึกษา พวกวรรณกรรมและดนตรีก็รุ่งเรืองในยุคนี้ด้วย แต่การพัฒนาที่เห็นชัดก็คือ Valletta รวมทั้งในปี 1530 ยังได้มีการก่อตั้งโรงเรียนที่สอนทางด้านกายภาพและการผ่าตัดอีกด้วย และกลายเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในยุโรปในปี 1676 ส่วนช่วงหลังสุดที่โดนอังกฤษปกครองนั้น ประเทศได้รับอิทธิพลด้านศิลปะแบบนีโอคลาสสิคและนีโอโกธิค ซึ่งสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือ Mosta Dome, St. Paul’s Anglican Cathedral และ Carmelite Church ในเมือง Sliema รวมไปถึงการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ใช้ในการศึกษา การทำธุรกิจ และ การค้าต่างๆในประเทศด้วย นี่ก็คือประวัติศาสตร์คร่าวๆของประเทศมอลต้า จากที่อ่านแล้วก็พอเดาได้เลยว่าศิลปะและสถาปัตยกรรมในประเทศนั้นต้องโดดเด่นและสวยงามมากเลยทีเดียว เราไปดูกันว่าถ้าไปเยือนแล้วเราไม่ควรพลาดที่ไหนบ้าง

Must See Malta มอลต้า ห้ามพลาด

1. Valletta

อันดับแรกก็ต้องเป็นเมืองหลวงอย่างวัลเลตตา ซึ่งเป็นเมืองที่ทำให้เราเห็นความรุ่งเรืองในยุคทองของมอลต้า เพราะเมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองศิลปะแห่งยุโรป และเป็นเมืองมรดกโลก เนื่องจากปัจจุบันวัลเลตตาเป็นหนึ่งในเมืองที่เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ของโลก และถ้าหากจะชมเมืองแน่นอนว่าการเดินคือวิธีที่ดีที่สุด เพราะสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น สถาปัตยกรรม อนุเสาวรีย์ ที่ยังคงอยู่ตั้งแต่สมัย The Knights of St. John และตามซอกซอยต่างๆของเมืองก็จะมีร้านขายของเล็กๆ และคาเฟ่ ในขณะที่ตามถนนใหญ่ๆจะเป็นที่ตั้งของพวกร้านแบรนด์เนม ร้านเกี่ยวกับดนตรี เครื่องประดับ และอีกมากมาย นอกจากนั้นสิ่งที่ไม่ควรพลาดในวัลเลตตาก็คือการชมสวนที่มีชื่อเสียงของที่นี่ ซึ่งก็คือ Upper Barrakka Gardens, Hasting Gardens และ Lower Barrakka Gardens เป็นสามสวนที่มีชื่อเสียงมาก นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีสวนเล็กๆที่ซ่อนอยู่มากมาย แต่ถ้าหากชมสถาปัตยกรรมก็ต้องไปที่ St. John’s co Cathedral & museum ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแนว Baroque และเป็นที่เก็บผลงานของศิลปินชื่อดังระดับโลกอย่าง Caravaggio และ Mattia Preti

มอลต้า
มอลต้า
มอลต้า
มอลต้า
มอลต้า

2. Sliema

นั่งเรือออกจากเมืองหลวงเพียงไม่กี่นาทีก็จะถึงสลีมา เมืองที่อยู่ติดชายฝั่งด้านตะวันออก แต่เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆนั้นแต่ตอนนี้กลายมาเป็นเมืองแห่งการค้าขายและเป็นเมืองที่คึกคักอีกเมือง แถมยังมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดยส่วนมากจะเป็นพวกป้อมปราการต่างๆ มีทางเดินเลียบชายทะเลที่เรียกกันว่า “The Front” ยาวจาก Gżira ถึง St. Julian’s เป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร สำหรับกิจกรรมที่ทำในเมืองนี้ที่ไม่ควรพลาดก็คือนั่งเรือจากวัลเลตตามายังสลีมา ที่ถึงแม้จะใช้เวลาเพียงไม่นานแต่เต็มอิ่มกับทัศนียภาพที่สวยงามของชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอย่างแน่นอน หรือถ้ายังไม่จุใจก็ไปเดินเล่นที่ The Front ต่อได้เช่นกัน สำหรับสถาปัตยกรรมสวยๆก็ต้องไปชมโบสถ์ Stella Maris โบสถ์ St. Patrick’s หรือโบสถ์ Holy Trinity สวนสวยๆก็มีให้เดินเที่ยวเหมือนกัน ชื่อว่า Independence gardens เป็นสวยที่อยู่เลียบชายทะเลเลย ศูนย์การค้าอย่าง The Point ก็มีสินค้าที่หลากหลายให้เลือกช้อปปิ้ง และตัวอาคารเองก็สวยงามไม่แพ้สถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์เช่นกัน นอกจากนี้ตอนกลางคืนเมืองนี้ก็คึกคักไม่แพ้ช่วงกลางวันเลยทีเดียว ถ้าใครอยากทำกิจกรรม Nightlife ก็แนะนำเมืองนี้เลย

มอลต้า
มอลต้า
มอลต้า

3. Mdina

มีอีกชื่อว่า Silent City เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาดใหญ่ ตอนกลางของประเทศ และเป็นเมืองหลวงเก่าด้วย สถาปัตยกรรมของเมืองนี้เป็นแบบ Norman และ Baroque สถานที่ที่ควรไปเยี่ยมชมในเมืองได้แก่ Natural History Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีคอลเลกชั่นเกี่ยวกับหิน และแร่ต่างๆ นก ปลา และสัตว์เลี้ยงด้วยนมรวมแล้วเป็นพันชนิด ต่อมาคือ Carmelite Church and Priory เป็นโบสถ์ที่สร้างในช่วงศตวรรษที่ 17 ที่มีความสวยงามมาก อีกทั้งภายในโบสถ์ยังมีพิพิธภัณฑ์ ร้านขายของที่ระลึก และคาเฟ่ และที่สุดท้ายที่จะนำก็คือ St. Paul’s Cathedral เป็นวิหารซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง ประดับประดาไปด้วยอัญมณีต่างๆตั้งแต่ศตวรรษที่ 17

malta
malta
malta
malta
malta

และทั้งหมดนี้ก็คือเมืองและสถานที่ต่างๆที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนประเทศ มอลต้า จริงๆแล้วมอลต้านั้นค่าครองชีพไม่ได้แพงเลย เมื่อเทียบกับอีกหลายๆประเทศในยุโรป และคุ้มค่ามากๆถ้าไปแล้วจะได้เห็นวัฒนธรรมต่างๆ รวมถึงสิ่งที่หลงเหลือจากในอดีตที่ถูกรักษาไว้อย่างดีไปพร้อมๆกับการพัฒนาประเทศ ยังไงก็ลองไปดูแล้วจะประทับใจไม่รู้ลืม

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related Post

ผู้ชายแต่งหน้า

ผู้ชายแต่งหน้า มีที่มายังไงแล้วทำไมถึงเป็นกระแสขึ้นมาผู้ชายแต่งหน้า มีที่มายังไงแล้วทำไมถึงเป็นกระแสขึ้นมา

เดี๋ยวนี้เรื่องของเครื่องสำอางหรือการแต่งหน้าไม่ได้เป็นแค่เรื่องของผู้หญิงอีกต่อไป ผู้ชายปัจจุบันก็หันมาสนใจเรื่องของการแต่งหน้ามากขึ้น เห็นได้จากจำนวนบิวตี้บล็อกเกอร์ชายที่มีมากขึ้นและหลายๆคนก็มีชื่อเสียงเป็นที่เรียบร้อย จริงๆแล้วการแต่งหน้าของผู้ชายก็มีหลากหลายไม่แพ้ผู้หญิงนะ บางคนก็นิยมแต่งแบบธรรมชาติเพื่อให้ดูดี ดูสะอาดมากขึ้น หรือบางคนก็แต่งจัดเต็มแบบผู้หญิงไปเลยก็มี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน และวันนี้เราจะพาย้อนไปดูถึงที่มาที่ไปว่า ผู้ชายแต่งหน้า มีมาตั้งแต่ตอนไหน แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นกระแสขึ้นมา ที่มาที่ไปของ ผู้ชายแต่งหน้า การแต่งหน้าของผู้ชายนั้นมีมาตั้งแต่สมัย 4000 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงศตวรรษที่ 18 ที่การแต่งหน้ากลายเป็นเรื่องต้องห้าม เราจะมาเรียงไทม์ไลน์กันว่าเรื่องการแต่งหน้าของผู้ชายแต่ละยุคสมัยเป็นอย่างไรบ้าง 1.) Ancient Egypt สมัยอียิปต์โบราณเรื่องของความเป็นชายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และเครื่องสำอางก็มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ เพราะผู้ชายจะใช้ผงสีดำในการเขียนขอบตาในรูปแบบ cat-eye มีการใช้อายแชโดว์สีเขียวเพราะเชื่อว่าเป็นการขจัดโรคร้าย ช่วงหลังมาถึงมีการใช้สีแดงปัดแก้มคู่กับไฮไลท์ที่มาจากแร่ต่างๆ

เชสกี้ครุมลอฟ

เชสกี้ครุมลอฟ ความโรแมนติกของมรดกโลก Cesky Krumlovเชสกี้ครุมลอฟ ความโรแมนติกของมรดกโลก Cesky Krumlov

เมืองเก่าสุดแสนโรงแมนติก อย่าง เชสกี้ครุมลอฟ ของประเทศเช็กเกีย เป็นเมืองเล็ก ๆ ในโบฮีเมียใต้ของเช็กเบีย ที่มีปราสาทสุดโรแมนติกที่มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน เมืองที่ห้อมลอมไปด้วยแม่น้ำ ทำให้บรรยากาศช่างร่มรื่นน่าอนุรักษณ์เป็นอย่างมาก และยังได้รับการขึ้นทะเบียนไว้เป็นมรดกโลกในปี 1992 หลังจากการประกาศอิสระภาพในสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้กลายเป็นที่เที่ยวใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อย ปราสาท เชสกี้ครุมลอฟ เป็นประสาทที่มีอายุเก่าแก่มากกว่า 700 ปี  เก่าจนได้อันดับสองของโลก  ยังแอบมีเก่ากว่าที่นี้อีกนะเนี้ย  สมัยก่อนปราสาทนี้เป็นที่อยู่อาศัยของกระกูลขุนนางชั้นสูง  ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองอย่างโดดเด่น  เวลาที่คุณอยู่เมืองนี้ไม่ว่าจะมองจากที่ไหนจะเห็นปราสาทนี้โดดเด่นอยู่เสมอ หอคอยของปราสาทนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเวลตาวา  และยังได้รับการบูรณะซ่อมแซมอยู่เสมอ  ตัวปราสาทก็ยังมีการเพิ่มจิตกรรมฝาผนัง  ให้ได้ชมกันด้วยด้วยบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์  หอคอยปราสาทสวยงามโดดเด่นทำให้ที่นี่มีบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกแบบเห็นวิวได้ 360

พิพิธภัณฑ์

พิพิธภัณฑ์ ทั่วโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิตพิพิธภัณฑ์ ทั่วโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต

ในการเดินทางไปทั่วโลกนั้นแต่ละคนก็มีเป้าหมายต่างกันไป บางคนอยากจะออกไปเปิดโลก เปิดหูเปิดตาให้กว้าง เรียนรู้วัฒนธรรม หรือบางคนไปตามเทรนด์ ไม่ว่าจุดประสงค์จะเป็นอะไรก็ไม่ผิดทั้งนั้น แต่สิ่งที่อยากให้ลองไปสัมผัสเมื่อได้ไปเที่ยวต่างบ้านต่างเมืองก็คือ พิพิธภัณฑ์ ซึ่งหลายประเทศเขาให้ความสำคัญกับสถานที่แห่งนี้มาก เพราะสามารถเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ไปในตัว หลายๆที่จึงมีทั้งคอลเลกชั่นงานศิลปะของศิลปินชื่อดัง และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆเก็บเอาไว้มากมาย เราจึงไม่อยากให้คุณพลาด พิพิธภัณฑ์ around the world 1. Louvre Museum (พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์)             ไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อพิพิธภัณฑ์ศิลปะลูฟวร์ ประเทศฝรั่งเศสแน่นอน เพราะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง เก่าแก่ และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ลูฟวร์เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อปี 1793 แต่ตัวปิระมิดกระจกนั้นเกิดขึ้นทีหลัง