ในโลกปัจจุบันการที่จะครอบงำหรือแสดงอำนาจให้เห็นนั้นไม่ค่อยมีการใช้ Hard Power หรืออำนาจทางการทหารและอาวุธเท่าไหร่แล้ว นอกจากประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม แต่การใช้วัฒนธรรมในการแสดงอำนาจ หรือ Soft Power นั้นกลับกลายเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ถ้าให้ยกตัวอย่างก็ต้องเป็นกระแส K-Pop จากประเทศเกาหลีใต้ที่เป็นตัวอย่างของการใช้ Soft Power ที่ประสบความสำเร็จ เราจะมาดูกันว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เคป๊อปเป็นที่นิยมไปทั่วโลก
K-Pop การส่งผ่านวัฒนธรรมผ่านสื่อบันเทิง
ปัจจัยที่ทำให้การครอบงำทางวัฒนธรรมของเประเทศเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จได้นั้นหลักๆเลยคือการได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ช่วงที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง (1997) ประเทศเกาหลีใต้ต้องมีการกู้เงินจาก IMF แต่หลังจากนั้นก็สามารถปลดหนี้ได้อย่างรวดเร็วจากการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรม เนื่องจากเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ไม่ได้มีต้นทุนทางประวัติศาสตร์ที่เข้มแข็งเหมือนอย่างจีน ญี่ปุ่น และยังมีต้นทุนทางการเงินต่ำ แต่สิ่งที่เป็นจุดแข็งเลยก็คือคนเกาหลีมีความอดทน ปรับตัวเก่ง และสามารถรับมือกับวิกฤตต่างๆได้อย่างดี อีกทั้งยังสามารถนำสิ่งที่กำลังป๊อปอยู่ในขณะนั้นมาพัฒนาและต่อยอดได้ ดังนั้นจึงเกิดการลงทุนที่จะผลิตซีรี่ส์ดีๆเพื่อส่งออกไปแข่งขัน เพราะเป็นสิ่งที่ลงทุนต่ำ แถมยังกินเวลานานมากพอที่จะทำให้คนจดจำ รับรู้ และคล้อยตาม รวมถึงยังสามารถสอดแทรกเรื่องราวต่างๆทั้งเรื่องของอาหาร แฟชั่น ความงาม สถานที่ท่องเที่ยวไว้ได้อีกด้วย และถ้าหากไม่ประสบความสำเร็จก็ยังมีการบริโภคภายในประเทศเกิดขึ้นอยู่ดี
แต่กลับกลายเป็นว่ากลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จอย่างดงาม เพราะถ้าหากดูจากกระแสเคป๊อปในประเทศไทยนั้นตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ก็กินเวลามากกว่า 20 ปีแล้ว และยังไม่มีท่าทีที่จะจางหายไปอย่างง่ายๆ รวมถึงทั่วโลกตอนนี้เช่นกัน หากจะย้อนกลับไปถึงก้าวแรกที่ทำให้เกิด K-Fever ในบ้านเราก็น่าจะเป็นช่วงของซีรี่ส์รัก 4 ฤดู (Autumn in My Heart, Winter Sonata, Summer Scent, Spring Waltz) ที่ทำให้สาวๆหลงรักวอนบินกันทั้งเมือง และจากซีรี่ส์ชุดนี้ก็ทำให้เกาะนามิกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในการตามรอยซีรี่ส์สุดฮิตไปโดยปริยาย แต่ถ้าพูดถึงซีรี่ส์ที่ทำให้คนติดกันงอมแงมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็คงต้องยกให้เรื่อง แด จังกึม จอมนางแห่งวังหลวง ซีรี่ส์ย้อนยุคสุดเข้มข้นนั่นเอง และถ้าเป็นไอดอลก็คงนึกถึง Rain, Girls’ Generation, TVXQ, Wonder Girls จนมาถึงปัจจุบันนี้ทั้งกระแสของไอดอลและซีรี่ส์ก็ยังไม่หายไปไหน แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คงเป็นเรื่องของภาพยนตร์ เพราะจากที่เราเห็นนั้นละครโทรทัศน์จากเกาหลีใต้มีบทที่แข็งแรง และโปรดักชั่นที่เยี่ยมยอด จึงไม่แปลกใจเลยถ้าภาพยนตร์เกาหลีจะสามารถก้าวมาสู่ระดับโลกได้ ตัวอย่างล่าสุดเลยก็คือภาพยนตร์เรื่อง Parasite (2019) ของผู้กำกับบง จุนโฮที่คว้ารางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์กลับบ้านไปนั่นเอง ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในบ้านเราและทั่วโลก และนี่ก็เป็นตัวการันตีคุณภาพของผลงานชิ้นนี้ได้เป็นอย่างดี
สำหรับวงการไอดอลเกาหลีนั้นก้าวสู่ระดับโลกได้มากยิ่งขึ้นก็น่าจะเป็นผลจากศิลปินอย่าง BTS ที่ขึ้นอยู่ในอันดับ 1 บนบิลบอร์ดชาร์ตจากอัลบั้ม Love Yourself: Tear ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ศิลปินที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักขึ้นอยู่อันดับ 1 บนชาร์ตนี้ ทำให้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และเมื่อเพลงที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษติดท็อปชาร์ตระดับโลกก็ทำให้คนเกิดสนใจเรื่องของภาษา หลายๆคนรู้ภาษาเกาหลีจากการฟังเพลงหรือดูซีรี่ส์นี่แหละ และเมื่อได้รับความนิยมมากขึ้นหลายๆมหาวิทยาลัยก็มีการเปิดสอนภาษาเกาหลีเป็นอีกหนึ่งสาขาวิชา ซึ่งก็ถือเป็นครอบงำทางวัฒนธรรมอีกทางนึงเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของแฟชั่นที่ Seoul Fashion Week กลายเป็นอีกงานแฟชั่นระดับโลก หรือเรื่องของความงามที่เฟื่องฟูทั้งหญิงและชาย เพราะที่เกาหลีใต้การที่ผู้ชายแต่งหน้านั้นเป็นเรื่องปกติ จน Chanel ต้องมาเปิดตัวเครื่องสำอางสำหรับผู้ชาย Boy de Chanel ถึงเกาหลีใต้ ยังไม่รวมถึงเรื่องของอาหารการกินที่ถูกใจใครหลายๆคนจนทำให้ร้านอาหารเกาหลีเปิดเต็มไปหมดทั้งในไทยและต่างประเทศ เรียกได้ว่าวัฒนธรรมเคป๊อปนั้นครอบคลุมไปทุกแขนงเลยจริงๆ
พอมาดูแบบนี้แล้วประเทศเราก็น่าจะมีการใช้ K-Pop เป็นกรณีศึกษาบ้าง เพราะเอาเข้าจริงๆวัฒนธรรมหลายๆอย่างของบ้านเรานั้นก็เป็นที่รู้จักในระดับโลก อย่างเช่น อาหาร ในเรื่องของวิธีการนั้นเชื่อว่าคนไทยมีความสามารถหลายท่านมีแนวทางอย่างชัดเจนแน่นอนว่าควรจะทำอย่างไร อีกอย่างหนึ่งก็คือในเรื่องของสื่อบันเทิงไทยที่ไม่ได้น้อยหน้ามากนักในเรื่องของฝีมือ แต่อยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนจากการสร้างผลงานสะท้อนสังคม มาเป็นการชี้นำสังคมไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่ และภาครัฐจะให้การสนับสนุนและมีนโยบายอะไรที่เป็นรูปเป็นร่างให้กับผู้ผลิตเหล่านี้ได้บ้างก็เท่านั้นเอง