kachelotravel Culture วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป กับดินแดนในประเทศการพัฒนาแล้ว

วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป กับดินแดนในประเทศการพัฒนาแล้ว

วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป

วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป ถ้าหากว่าพูดถึงยุโรปหลาย ๆ คนก็จะนึกถึงดินแดนที่รวมไปด้วยประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งวิธีการดำเนินชีวิต และวิธีการทำงานของเขานั้น แตกต่างจากประเทศในแถบเอเชียที่ถูกจัดให้เป็นประเทศกำลังพัฒนาเป็นอย่างมาก

o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o

ในยุโรปนั้นให้ความสำคัญในเรื่องของการทำงาน ซึ่งจะมุ่งไปที่ผลลัพธ์ของ การทำงาน มากกว่า เวลาเข้างาน ซึ่งในหลาย ๆ บริษัทนั้นก็จะมีการลงเวลาเข้างานเหมือนเหมือนกันกับบริษัทในเอเชีย แต่สำหรับเรื่องวันเข้าทำงานนั้นอาจจะมีความแตกต่าง และบริษัทนั้นมุ่งเน้นให้พนักงานของตัวเองมีเวลาในการพักผ่อนมากขึ้น

หากจะเปรียบเทียบกันกับบริษัทในแถบประเทศเอเชียที่ทำงาน 5-6 วันใดในยุโรปนั้นจะอนุญาตให้พนักงานเข้ามาทำงานเพียงแค่สัปดาห์ละ 3 วันเท่านั้น (ซึ่งไม่ใช่ทุกประเทศ และทุกบริษัทจะดำเนินการในลักษณะนี้) ส่วนวันที่เหลือน้ำพนักงานสามารถที่จะทำงานมาพักที่บ้านได้

หรือบางบริษัทนั้นก็ให้เป็นวันหยุดไปเลย เพื่อที่จะให้พนักงานนั้นมีเวลาได้พักผ่อน และใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น และมันจะส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานในวันที่พวกเขามาทำงานที่ออฟฟิศนั้นเพิ่มขึ้น

วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป
วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป

วัฒนธรรมการทำงานของชาวยุโรป และความสำคัญในเรื่องของการทำงาน

สวัสดิการ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในออฟฟิศ นั่นก็ถือ เป็นเรื่องที่บริษัทต่างๆในยุโรปให้ความสำคัญ ในแต่ละบริษัทนั้นมักจะมีห้องพักผ่อนให้กับพนักงานเพื่อที่จะให้พนักงานนั้นสามารถใช้เวลาที่ว่างจากการทำงานมานั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ หรือว่าทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลายในระหว่างการทำงานได้ด้วย

นี่ยังไม่รวมไปถึงกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ ที่บริษัทจำเป็นจะต้องจัดขึ้นเพื่อให้พนักงานนั้นมีความผ่อนคลาย และเป็นสร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงาน

o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o

c r e d i t : ufabet1688

o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o o

Related Post

k-pop

K-Pop ตัวอย่างการใช้ Soft Power ที่ประสบความสำเร็จK-Pop ตัวอย่างการใช้ Soft Power ที่ประสบความสำเร็จ

ในโลกปัจจุบันการที่จะครอบงำหรือแสดงอำนาจให้เห็นนั้นไม่ค่อยมีการใช้ Hard Power หรืออำนาจทางการทหารและอาวุธเท่าไหร่แล้ว นอกจากประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม แต่การใช้วัฒนธรรมในการแสดงอำนาจ หรือ Soft Power นั้นกลับกลายเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ถ้าให้ยกตัวอย่างก็ต้องเป็นกระแส K-Pop จากประเทศเกาหลีใต้ที่เป็นตัวอย่างของการใช้ Soft Power ที่ประสบความสำเร็จ เราจะมาดูกันว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เคป๊อปเป็นที่นิยมไปทั่วโลก K-Pop การส่งผ่านวัฒนธรรมผ่านสื่อบันเทิง ปัจจัยที่ทำให้การครอบงำทางวัฒนธรรมของเประเทศเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จได้นั้นหลักๆเลยคือการได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ช่วงที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง (1997) ประเทศเกาหลีใต้ต้องมีการกู้เงินจาก IMF แต่หลังจากนั้นก็สามารถปลดหนี้ได้อย่างรวดเร็วจากการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรม เนื่องจากเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ไม่ได้มีต้นทุนทางประวัติศาสตร์ที่เข้มแข็งเหมือนอย่างจีน ญี่ปุ่น และยังมีต้นทุนทางการเงินต่ำ แต่สิ่งที่เป็นจุดแข็งเลยก็คือคนเกาหลีมีความอดทน ปรับตัวเก่ง

วัฒนธรรมการดื่มชา

วัฒนธรรมการดื่มชา กับชาวอังกฤษวัฒนธรรมการดื่มชา กับชาวอังกฤษ

ถ้าพูดถึงประเทศอังกฤษ ประเทศที่ดูผู้ดี๊ผู้ดีก็จะต้องนึกถึงการดื่มชาอย่างแน่นอน ที่จริงแล้วชาเนี่ยเป็นเครื่องดื่มที่มีคนดื่มมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากน้ำเปล่าเลยนะ เพราะนอกเหนือจากประเทศอังกฤษแล้วยังมีประเทศอื่นๆที่นิยมดื่มชากันอีก เช่น ประเทศจีน หรือญี่ปุ่นที่มีพิธีชงชาที่งดงาม หรืออย่างคนไทยเองก็นิยมดื่มเหมือนกัน ไม่ว่าจะชาเขียว ชาไทย หรือแม้แต่ชานมไข่มุกก็ตาม แต่วันนี้เราจะมาดู วัฒนธรรมการดื่มชา ของชาวอังกฤษกันว่าเป็นยังไง ความเป็นมาของ วัฒนธรรมการดื่มชา ของชาวอังกฤษ ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 1600 ชาวอังกฤษได้รู้จักกับชาครั้งแรกจากการที่พระเจ้าชาร์ลที่ 2 แต่งงานกับเจ้าหญิงชาวโปรตุเกสนามว่าแคทเธอรีนแห่งบราแกนซา ผู้ที่ชื่นชอบดื่มชาเป็นชีวิตจิตใจ ก็เลยทำให้ชาเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันในราชวงศ์และชนชั้นสูง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็กลายเป็นเครื่องดื่มที่แพร่หลายไปทุกชนชั้น และนี่ก็เป็นที่มาถึงวัฒนธรรมการดื่มชาของชาวอังกฤษนั่นเอง และก่อนจะไปจิบชาสวยๆแบบอังกฤษเราลองมาทำความรู้จักกับสถานที่สำหรับดื่มชาและการดื่มชาแบบต่างๆกันก่อนดีกว่า British-style

ผู้ชายแต่งหน้า

ผู้ชายแต่งหน้า มีที่มายังไงแล้วทำไมถึงเป็นกระแสขึ้นมาผู้ชายแต่งหน้า มีที่มายังไงแล้วทำไมถึงเป็นกระแสขึ้นมา

เดี๋ยวนี้เรื่องของเครื่องสำอางหรือการแต่งหน้าไม่ได้เป็นแค่เรื่องของผู้หญิงอีกต่อไป ผู้ชายปัจจุบันก็หันมาสนใจเรื่องของการแต่งหน้ามากขึ้น เห็นได้จากจำนวนบิวตี้บล็อกเกอร์ชายที่มีมากขึ้นและหลายๆคนก็มีชื่อเสียงเป็นที่เรียบร้อย จริงๆแล้วการแต่งหน้าของผู้ชายก็มีหลากหลายไม่แพ้ผู้หญิงนะ บางคนก็นิยมแต่งแบบธรรมชาติเพื่อให้ดูดี ดูสะอาดมากขึ้น หรือบางคนก็แต่งจัดเต็มแบบผู้หญิงไปเลยก็มี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน และวันนี้เราจะพาย้อนไปดูถึงที่มาที่ไปว่า ผู้ชายแต่งหน้า มีมาตั้งแต่ตอนไหน แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นกระแสขึ้นมา ที่มาที่ไปของ ผู้ชายแต่งหน้า การแต่งหน้าของผู้ชายนั้นมีมาตั้งแต่สมัย 4000 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงศตวรรษที่ 18 ที่การแต่งหน้ากลายเป็นเรื่องต้องห้าม เราจะมาเรียงไทม์ไลน์กันว่าเรื่องการแต่งหน้าของผู้ชายแต่ละยุคสมัยเป็นอย่างไรบ้าง 1.) Ancient Egypt สมัยอียิปต์โบราณเรื่องของความเป็นชายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และเครื่องสำอางก็มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ เพราะผู้ชายจะใช้ผงสีดำในการเขียนขอบตาในรูปแบบ cat-eye มีการใช้อายแชโดว์สีเขียวเพราะเชื่อว่าเป็นการขจัดโรคร้าย ช่วงหลังมาถึงมีการใช้สีแดงปัดแก้มคู่กับไฮไลท์ที่มาจากแร่ต่างๆ